เพราะฮวงจุ้ยคือธรรมชาติและสถิติ
ในยุคที่โลกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล หลายๆ คนอาจมองศาสตร์ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องไสยศาสตร์ ที่มโนไปแค่ว่าเปลี่ยนตำแหน่งของอะไรสักอย่าง หรือซื้ออะไรมาตั้ง แล้วชีวิตก็ดีได้ แต่แท้จริงแล้วหากศึกษาอย่างลึกซึ้งจะรู้ว่า ศาสตร์ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่ให้หลักสถิติซึ่งสั่งสมมานานกว่า 3,000 ปีในการเตือนภัยล่วงหน้า และสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน เพื่อส่งให้ชีวิตดีขึ้นได้ อย่างที่ คุณนิ้ง ปรัชญา รมหุตติฤกษ์ Financial Director บริษัท โคเรีย มอเตอร์ เซลส์ จำกัด นักการเงินที่คลุกคลีอยู่กับสายรถยนต์มานานกว่า 10 ปี และหันมาศึกษาศาสตร์แห่งการไหลเวียนของพลังงานอย่างจริงจังจนนำมาปรับใช้กับงานที่เขาทำได้อย่างลงตัว
ใครที่เคยติดภาพว่าการศึกษาศาสตร์ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของคนเฒ่าคนแก่ คนรุ่นก่อน คิดผิดถนัด พิสูจน์ได้จากตัว คุณนิ้ง คนรุ่นใหม่ที่รำเรียนมาหลายสาขา ทั้งปริญญาตรีด้านวิศวกรรมเคมี จากมหาวิทยาลัยรังสิต ก่อนจะข้ามมายังสายบริหารในปริญญาโทสาขา MBA จาก University of Dallas รัฐเท็กซัส จากนั้นก็เดินบนเส้นทางสายการเงินมาตลอด
ความเป็นคนสนใจใคร่รู้ ชอบความท้าทาย รักการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ นอกเหนือจากการเรียนข้ามสายแล้ว เขายังสนใจศาสตร์ฮวงจุ้ยที่เริ่มศึกษาอย่างจริงจังเก็บเล็กผสมน้อยมาตลอด 15 ปีจากเหล่าซินแสผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน
การมาบรรจบกันระหว่างวิทยาศาสตร์ ศาสตร์การเงิน และหลักฮวงจุ้ย มาผสมผสานกันอย่างลงตัวได้อย่างไรในตัวผู้ชายคนนี้ มารับรู้ไปพร้อมๆ กันเลย
อยู่บนสายงานการเงิน อะไรที่ทำให้มาสนใจศาสตร์ฮวงจุ้ย?
ผมชอบศาสตร์ฮวงจุ้ยมาตั้งแต่เด็ก ผมว่ามันน่าสนใจ คือผมมองศาสตร์ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องของการคำนวณ เพราะถ้าไม่มีการคำนวณจะไม่สามารถถ่ายทอดจากอาจารย์ไปถึงลูกศิษย์ได้อย่างเป็นแบบแผนเดียวกันทั่วโลกมาตลอด 3,000 ปี เพราะหลักการของฮวงจุ้ยมีเหตุผลและตรรกะ
หากเทียบสิ่งที่ศึกษามาทั้งศาสตร์เคมี, การเงิน, ฮวงจุ้ย มีความเหมือน-ต่างกันอย่างไร?
การเรียนเคมี เป็นการศึกษาโมเลกุล เป็นวิชาที่ต้องใช้จินตนาการในการคิดตาม อย่างการเงินเป็นตรรกะคือเครดิตเท่ากับเดบิต คือการจัดการค่าใช้จ่าย จุดนี้ก็เหมือนกับฮวงจุ้ย เพราะ ‘ฮวง’ แปลว่า ‘ลม’ ‘จุ้ย’ แปลว่า ‘น้ำ’ เรียกว่าโชคลาภมากับลมและมาหยุดอยู่ที่น้ำๆ เป็นสิ่งเคลื่อนไหว ซึ่งมีธรรมชาติคล้ายๆ กับเงิน เพราะเงินมีการไหลเข้าไหลออกตลอดเวลา ถ้าเราสามารถควบคุมกระแสน้ำได้หมายความว่าเราสามารถควบคุมกระแสเงินได้ กระแสเงินสดก็ใช้หลักการคล้ายๆ กัน คือ เราเอาเงินไปฝากธนาคารเพื่อให้ออกดอกออกผลหรือเอาเงินไปลงทุน เท่ากับเป็นการเพิ่มค่าเพิ่มกระแสน้ำให้มาก ฉะนั้นเราต้องดูจังหวะทิศทางลมว่าช่วงนี้ควรจะลงทุนไหม? ดูว่าช่วงนี้มีอะไรมากระทบกับบริษัทบ้างไหม เช่น ต้องดูวันเดือนปีของบริษัทว่ามีพลังงานอะไรในช่วงที่จะลงทุน เพื่อไม่ให้กระทบกับพลังในปัจจุบัน
หลักคิดง่ายๆ ของฮวงจุ้ย แบ่งพลังออกเป็น 2 แบบ คือ
1.พลังเคลื่อนไหว ถ้าพูดเป็นวิทยาศาสตร์ก็คือ Dynamic
2. พลังหยุดนิ่ง หรือก็คือ Static
จุดไหนที่มีพลังเคลื่อนไหว ก็หมายถึงดี
หลักฮวงจุ้ยเข้ามาเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของคนเราอย่างไร?
มีคำกล่าวว่า อิกเต็กยี่เห็งซาฮวงจุ้ย (อิกเต็ก=คุณธรรม / ยี่เห็ง=ดวงชาตา ซาฮวงจุ้ย= ฮวงจุ้ย) สิ่งที่ลิขิตชีวิตคนเราประกอบด้วย 3 สิ่ง คือ ชะตาฟ้า, ชะตาคน, ชะตาดิน อธิบายง่ายๆ ชะตาฟ้า ก็คือ วันที่ฟ้าให้เราเกิดมา ให้เราได้มีโอกาสมาทำงานนี้ ชะตาคน ก็คือ ศักยภาพ-ความสามารถของเรา ส่วนชะตาดิน ก็หมายถึงชัยภูมิ ทำเล ตำแหน่งที่ตั้ง คือ การอาศัยสภาพแวดล้อม เมื่อมี 3 ประสาน มันก็จะครบ เพราะถ้าได้มีโอกาสมาทำงานในตำแหน่งนี้ คุณเก่งมีความสามารถ แต่นั่งในตำแหน่งไม่ดี ไม่มีใครมองเห็นผลงาน โอกาสก็มา 2 ใน 3 แต่ถ้าเราเสริมเรื่องฮวงจุ้ยเข้าไปก็เป็นการสร้างองค์ประกอบให้ครบทั้ง 3
ลองยกตัวอย่างหลักฮวงจุ้ยว่าเป็นสิถิตอย่างไร?
ยกตัวอย่าง 12 ราศี ทำไมถึงเป็น 12 ราศี ต้องย้อนไปก่อนว่าซินแสสมัยก่อนอาศัยการดูดวงดาว ซึ่งดาวพฤหัสเป็นดาวใหญ่ที่สุดในระบบสุริยจักรวาล เวลาที่ดาวพฤหัสโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบคือ 12 ปี ในขณะที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบคือ 1 ปี ฉะนั้นดาวพฤหัสจะส่งพลังสุริยะเข้ามายังโลก ส่งมาในแต่ละด้านแบ่งเป็น 12 ปี จึงเกิดการเรียก 12 ราศี เพื่อใช้เรียกแทนช่วงทั้ง 12 ดังนั้นในแต่ละปีก็จะมีราศีที่ได้รับพลังจากดาวพฤหัสหมุนเวียนกันไป
ถ้าช่วงไหนดาวพฤหัสหันมาตรงกับมุมไหนของโลก ก็จะส่งพลังให้กับคนที่เกิดราศีนั้นๆ ได้รับพลังงานที่ดี อย่างที่เราเรียกว่า ‘เฮง’ นั่นล่ะ ในทางกลับกันในทิศตรงข้ามกับมุมที่ได้รับพลัง มุมนั้นหรือราศีนั้นก็จะไม่ได้รับพลังงาน เกิดเป็นมุมอับ คนที่เกิดในปีนั้นๆ ในช่วงเวลานั้นทำอะไรก็มีแต่อุปสรรค สมองไม่ปลอดโปร่ง อะไรก็แล้วแต่ที่เราเรียกกันว่า ‘ชง’ นั้นแหละ ถ้าเราเข้าใจหลักการนี้ทุกอย่างที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก็จะวนเวียนอย่างเป็นระบบ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมคนเราถึงต้องมาดูว่าเวลานอนต้องหันไปทางทิศไหน, ตั้งประตูไปทิศไหน นั่นเพราะทิศทางแต่ละทิศมีพลังในตัวของมันเองในช่วงเวลาของมัน เราเรียกว่าเข็มทิศหล่อแก อันนี้เป็นหลักคิดอย่างกว้างๆ ในเมื่อเราสามารถคำนวนได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจากสถิติเหล่านี้ ฉะนั้นฮวงจุ้ยจึงเป็นเรื่องของ Safety First ที่เตือนภัยล่วงหน้าให้เรารู้จักระวัง
หลังจากที่มาศึกษาเรื่องนี้แล้ว ถ้ามีคนมาบอกว่างมงาย เรารู้สึกอย่างไร?
ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเราเข้าใจหลักการ คนที่ไม่เข้าใจเขาก็ไม่เข้าใจ เพราะฮวงจุ้ยไม่มีคนที่รู้ลึกที่สุด หลายคนเอาไปประยุกต์กับไสยศาสตร์ก็มี เรื่องสัญลักษณ์ก็ดี เลยทำให้วิชานี้ถูกเข้าใจผิด ซึ่งแท้จริงแล้วเรื่องของฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของธรรมชาติ เรียนรู้เพื่อปรับให้เราเข้ากับธรรมชาติมากที่สุด ให้เราได้รับพลังงานที่ดี เพื่อช่วยให้ชีวิตได้รับความสุข
ส่วนตัวมีการนำหลักฮวงจุ้ยมาใช้กับที่ทำงานอย่างไร?
ง่ายๆ ที่ทำงานตอนนี้พลังงานของเขาดรอปไปแล้ว เหมือนต้นไม้ที่เคยเจริญรุ่งเรืองแล้วออกผลเต็มจนพลังค่อยๆ เสื่อมด้วยอายุของมัน ก่อนนี้เคยรุ่งเรืองทางด้านทิศตะวันออก แต่ปัจจุบันต้นไม้โตจนไปไม่ได้แล้ว เราก็ต้องหาทิศเปิดทางใหม่ให้พลังใหม่เข้ามา เรื่องของพลังงานเป็นเรื่องของการสะสม เพื่อให้ต้นไม้ต้นนี้ออกดอกออกผลให้เราได้ใช้ต่อ เราต้องรอคอย ต้องอดทน คือมันก็เหมือนกับการทำนายปี อย่างปีนี้เรารู้อยู่แล้วว่าไม่ค่อยดี เราก็ต้องเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ 2- 3 ปีที่แล้ว ไม่ทำอะไรเกินตัว ทำอะไรก็ระวัง อย่างที่บอกฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของ Safety First
ศึกษามานาน เคยคิดเปิดคอร์สถ่ายทอดวิชาความรู้ให้คนอื่นบ้างไหม?
เคยครับ แต่พอมาศึกษาพุทธศาสนาด้วย ก็คิดว่าถ้าเราเปิดคอร์สเป็นอาจารย์จะทำให้เรามีอัตตา ลูกศิษย์อยากรู้เยอะมากขึ้น เราก็ต้องไปหาความรู้มาเพิ่ม มันจะทำให้เรามีอัตตา กลายเป็นความคิดครอบงำ อาจทำให้เราหลง
ดูเหมือนว่าความรู้มีให้เรียนไม่มีจบ ส่วนตัวมีวิธีบริหารหรือเพิ่มทักษะให้ตัวเองอย่างไร?
อยู่กับตัวเองแล้วลองหายใจทำสมาธิเรื่องที่ผ่านไปในอดีต ทำจิตสบายๆ และก็ปล่อยให้มันคิดไปแล้วดูว่า
เราได้อะไรจากมัน มาอยู่กับปัจจุบันแล้วทำความเข้าใจสิ่งที่ผ่านไป คือ ใช้ความคิดแต่อย่าไปถูกความคิดใช้ คนส่วนใหญ่มักจะไปหาความคิดจากภายนอก แต่จริงๆพระพุทธเจ้าบอกว่าต้องหาจากภายใน ความรู้มีเยอะเหมือนใบไม้ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าที่จะทำให้เราพ้นทุกข์มีแค่กำมือเดียวเอง ถ้าอยากพ้นทุกข์ก็ศึกษาแค่ตรงนี้
ความที่ศึกษาทั้งพุทธศาสนาและหลักฮวงจุ้ย ทั้ง 2 ศาสตร์มีความเหมือนหรือขัดแย้งกันไหม?
ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องการศึกษาธรรมชาติ ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็คือธรรมชาติ แต่พระพุทธเจ้าศึกษาเรื่องการพ้นทุกข์ แต่ฮวงจุ้ยยังศึกษาเรื่องโชคลาภ วาสนา นั่นคือความต่าง วิชาฮวงจุ้ยนี้ยังไปไม่พ้นทั้งความดีและไม่ดี เพราะว่าพื้นฐานของฮวงจุ้ยเริ่มมาจากสองสิ่ง คือ หยินหยาง บวกกับลบ ขาวกับดำ หนึ่งเหรียญมีสองด้าน แต่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราไปเหนือกว่านั้นเหนืออกว่าทั้งดีและไม่ดี เป็นทางสายกลาง อยู่เหนือโลก แต่วิชาฮวงจุ้ยยังเป็นวิชาในโลก คนที่อยู่ในโลกยังอยากได้ อยากใช้ แต่สุดท้ายสูงสุดของมนุษย์ก็คือต้องการพ้นทุกข์
มีคำแนะนำอะไร? สำหรับคนที่เริ่มศึกษาเรื่องฮวงจุ้ย
เราควรศึกษาเรื่องฮวงจุ้ย อย่างน้อยเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้เราสะดวกสบายในชีวิตแทนที่เราจะใช้แต่ชะตาคนหรือชะตาฟ้าอย่างเดียว ลองอ่านเรื่องสามก๊ก สามก๊กเป็นตัวอย่างที่ดีของฮวงจุ้ยที่ชัดเจนมาก ตามเนื้อเรื่องแต่ละก๊กจะมีหัวหน้า อย่างโจโฉ ได้มีโอกาสแสดงฝีมือ สุดท้ายได้ครองอำนาจ นี่คือตัวแทนของชะตาฟ้า ให้โอกาสโจโฉได้ขึ้นมาเป็นใหญ่ ขณะที่เล่าปี่เป็นตัวแทนของชะตาคน เพราะเป็นคนมีคุณธรรม ใครๆ ก็อยากทำงานกับเขา ส่วนซุนกวนเป็นตัวแทนของชะตาดิน เพราะเขาอยู่ในทำเลที่ดี คือหลังติดภูเขาข้างหน้าเป็นทะเล ฟ้าให้แต่ละคนมีข้อดีแต่ละอย่าง แต่ถ้าสามารถรวมทั้งสามอย่างได้ นั่นล่ะคือเก่งที่สุด
เกร็ดความรู้
หลักฮวงจุ้ยบนโต๊ะประชุม
สำหรับมนุษย์ออฟฟิศทั้งหลาย รู้ไหม?ว่าตำแหน่งในห้องประชุมมีผลกับหน้าที่การงาน
-
จุดที่ดีที่สุดบนโต๊ะประชุม คือ หัวโต๊ะ นั่นคือตำแหน่งของประธาน ฉะนั้นถ้าคุณไม่ใช่ประธานก็ไม่ควรนั่งตรงนี้ เพราะถ้าบารมีหรือพลังของเราไม่ถึง ไปนั่งตำแหน่งนี้แทนที่จะดีก็จะกลายเป็นเสีย
-
สำหรับคนที่อยากก้าวหน้าและโดดเด่นในที่ทำงาน ต้องนั่งใกล้ประธาน
-
ไม่ควรนั่งใกล้ประตูหรือถังขยะ ขึ้นชื่อว่าขยะส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์อยู่แล้ว ถ้านั่งใกล้ถังขยะก็จะได้รับพลังงานไม่ได้จากมันด้วย
เรื่อง : บุญรัตน์ ศักดิ์บูรณพงษา
ภาพ : ยงยุทธ น้อมกลาง