พันตำรวจโทหญิง(พ.ต.ท.หญิง)ฉันฉาย รัตนพานิช หรือ คุณเม้าส์ ตำรวจหญิงคนแรกที่ได้รับตำแหน่ง”รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” เธอมุ่งมั่น วิ่งตามฝัน ว่าสักวันหนึ่งเธอต้องเป็นตำรวจเหมือนคุณพ่อให้ได้

วันนี้ทาง D-day trendy  ได้รับเกียรติ   จาก พันตำรวจโทหญิง(พ.ต.ท.หญิง)ฉันฉาย  รัตนพานิช หรือ คุณเม้าส์  ให้โอกาสมาเป็นแขกรับเชิญ เป็นปฐมฤกษ์ของเว็บเรา

 บ่ายวันศุกร์ที่การจราจรติดขัดย่านทองหล่อ เรามีนัดหมายกับแขกรับเชิญท่านแรกที่ให้เกียรติกับทาง D-day trendy มาประเดิมในคอลัมน์ Interview จุดนัดหมายของเรา คือ Moon Seeker Gallery ซึ่งเป็น art gallery อยู่ที่ ทองหล่อ ซอย 20 ...เมื่อมาถึงเรายังได้พบว่าด้านล่างของแกลอรี่ เจ้าของได้เปิดเป็นร้านกาแฟ ไว้สำหรับคอกาแฟ หรือผู้ที่ชอบงานศิลปะใช้มานั่งแลกเปลี่ยนทัศนะกัน ในร้านได้ออกแบบตกแต่งบรรยากาศเป็นสไตล์โมเดิร์นคลาสสิค ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว แถมยังมีกลิ่นกาแฟหอมกลุ่นอบอวนไปทั่วทั้งร้าน ช่างเป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายดีจริงๆ ..ทีมงานเลยถือโอกาสพักเหนื่อยนั่งจิบกาแฟหอมๆ  ดูผู้คนเดินผ่านไปมา แค่นี้ก็ทำให้หายเหนื่อยจากการเดินทางไปได้เยอะแล้วครับ

และเมื่อถึงเวลาตามนัดแขกรับเชิญของเราก็มาถึง เธอเป็นหญิงสาว ถ้าไม่บอกว่าเธอเป็นตำรวจหญิง คนทั่วไปคงจะคิดว่าเธอเป็นนางแบบซะด้วยซ้ำ และเธอก็ให้ความเป็นกันเองกับทีมงานเป็นอย่างมาก ทำให้การสัมภาษณ์ในครั้งนี้เป็นไปด้วยความสนุกสนาน

เรามาทำความรู้จักเธอกันสักหน่อยกันดีกว่า    

            คุณเม้าส์เล่าว่า เธอเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด เติบโตในครอบครัวตำรวจ และเป็นลูกสาวคนเล็กของ พล.ต.อ.คำรณ ลียะวณิช อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  จึงทำให้คุณเม้าส์มีโอกาสได้ติดตามคุณพ่อเมื่อต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างจังหวัดอยู่บ่อยๆ เหตุนี้เองที่ทำให้เธอได้รับการซึมซับชีวิตของตำรวจโดยไม่รู้ตัว ทำให้เธอมีความมุ่งมั่น ว่าสักวันหนึ่งเธอต้องเป็นตำรวจเหมือนคุณพ่อให้ได้

 คุณเม้าส์ เริ่มการศึกษาที่ “โรงเรียนสมาคมสตรีไทย” กรุงเทพมหานคร และเนื่องจากการที่คุณพ่อรับราชการตำรวจ ทำให้คุณเม้าส์และครอบครัวต้องติดตามคุณพ่อไปในหลายๆจังหวัด ทำให้เธอต้องย้ายโรงเรียนบ่อยมาก  จนในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นไปเรียนที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  และกลับมาเรียนที่กรุงเทพฯอีกครั้งในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา  จากนั้นเธอก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตที่เชียงใหม่อีกครั้งในระดับอุดมศึกษาที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ชีวิตการทำงาน         

            หลังจากเรียนจบเธอก็ทำตามความฝันในวัยเด็กของเธอโดยการสมัครเข้ารับราชการตำรวจ   ในเบื้องต้นเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในกองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อมาได้ย้ายไปที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ได้ทำงานเกี่ยวกับงานด้านการข่าว ความมั่นคงของประเทศ และใน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับฝ่ายกิจการต่างประเทศ ทำหน้าที่ประสานงานเกี่ยวกับหน่วยข่าวต่างประเทศกับตำรวจไทย ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการข่าว  และเธอยังได้รับการอบรมหลักสูตร FBI รุ่นที่ 233 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา   ซึ่งถือว่าเป็นตำรวจหญิงไทยคนที่ 3 ที่ได้รับเลือก  และยังได้รับการอบรมหลักสูตรต่อต้านการก่อการร้ายของตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลีย พ.ศ.2552  การอบรมครั้งนั้น มีผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรเอฟบีไอทั้งหมด 270 คน เป็นตำรวจต่างประเทศ 30 คน จาก 30 ประเทศ ที่เหลืออีก 240 คนเป็นตำรวจจากมลรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา

การอบรมครั้งนี้มีตำรวจหญิงเข้าร่วมเพียง 17-18 คน โดยตำรวจชายและหญิงจะผ่านการฝึกภาคทฤษฎีและปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคกันทุกอย่าง

คุณเมาส์เล่าด้วยความภูมิใจว่า “ตอนอบรมที่เอฟบีไอไม่ว่าจะเป็นฝรั่งกล้ามใหญ่ หรือตำรวจหญิงตัวเล็กๆ จากเมืองไทย จะทำเหมือนกันหมด ไม่แบ่งแยกชายหญิง ตอนอบรมชั้นเรียนปกติก็สบายๆ แต่ตอนเข้าคอร์สไฟซิเคิลฟิตเนส (Physical Fitness) ต้องยกถุงทราย 5 ปอนด์ 3 ปอนด์ ก็ต้องทำเหมือนกันหมด เห็นคนอื่นๆ ยกกระสอบทรายเหมือนยกหมอน ขนาดเรายกแค่ 3 ปอนด์ก็หนักมาก และยิ่งตอนรับลูกบอลจากตำรวจชายตัวโตๆ ก็โดนแรงเหวี่ยงจนแทบยืนไม่อยู่ แต่ก็ขำๆ ไม่เท่าไหร่ อาศัยความได้เปรียบที่อายุน้อยกว่าเพื่อนๆที่มีอายุเฉลี่ย 40 ปีในตอนนั้น” คุณเมาส์เล่าพร้อมหัวเราะเมื่อพูดถึงการฝึกในครั้งนั้น

 ไฮไลท์ของการฝึกอบรมคือการผ่านคอร์ส “เยลโลบริคโรด” (Yellow Brick Road) เป็นการวิ่งให้ครบ 6 ไมล์ ประมาณ 10 กิโลเมตร โดยเริ่มวิ่งครั้งแรกที่ 1.5 ไมล์ ประมาณ 3 กิโลเมตร ทั้งนี้ “เยลโลบริคโรด”เป็นชื่อถนนในนิทานเรื่อง อลิซในดินแดนมหัศจรรย์ เป็นการเดินทางของหนูน้อยอลิซ ที่ผ่านถนนเส้นนี้แล้วพบเจอและผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เช่นเดียวกับผู้ผ่านการอบรมที่ต้องวิ่งเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร จะเป็นสิ่งทดสอบความเจ็บปวด ความรัก การวางตัว ความซื่อสัตย์ และการนับถือตัวเอง มาอย่างยากลำบากเพียงใดก่อนจะมาถึงเส้นชัย”

คุณเมาส์เล่าต่อว่า “สำหรับหลักสูตรการฝึกอบรมครั้งนี้ มีหลักสูตรต่างๆ ให้เลือกลงทะเบียนเรียนกว่า 30 วิชา โดยผู้อบรมสามารถเลือกลงทะเบียนเรียนได้แค่คนละ 7-9  วิชาเท่านั้น เธอจึงเลือกเรียนในหลักสูตร Public Speaking,Contemporary Police & Media relation, Behavior science, Forensic, Leadership และ Physical Fitness เป็นต้น ซึ่งเป็นเนื้อหาของวิชาที่อบรมเสริมสร้างความเป็นผู้นำ การบริหารจัดการความเครียดจากการทำงาน การพูดในที่สาธารณะ และการสร้างสัมพันธภาพกับสื่อมวลชน

"การอบรมเกี่ยวกับการสร้างสัมพันธภาพกับสื่อมวลชนทำให้รู้ถึงความแตกต่างของการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน ซึ่งสหรัฐอเมริกาแต่ละมลรัฐจะใช้กฎหมายคนละฉบับ ส่วนประเทศไทยจะใช้กฎหมายฉบับเดียวกันทั้งประเทศ และเรียนรู้ว่าหลักการทำงานของสื่อมวลชนไทยกับต่างประเทศแตกต่างกันตรงวัฒนธรรมการเข้าถึงสื่อมวลชนของไทยจะเป็นแบบพี่น้องที่ช่วยเหลือกัน แต่ในต่างประเทศจะเป็นทางการมากกว่า สื่อมวลชนไทยจะเป็นลักษณะพี่น้อง เช่น เราอยากให้สื่อช่วย แป๊บเดียวก็ได้เบาะแสแล้ว เป็นการช่วยเหลือกันจนงานสำเร็จลุล่วง แต่ในต่างประเทศไม่มีสัมพันธ์แบบพี่น้อง จะเป็นทางการมากกว่า”

 จากประสบการณ์การฝึกอบรมจากเอฟบีไอตลอด 3 เดือน เธอยังเก็บภาพความประทับใจในวัน "เมมโมเรียลเดย์" (Memorial day) อยากให้เกิดขึ้นในสังคมไทยบ้าง ซึ่ง เมมโมเรียลเดย์ จะจัดขึ้นปีละครั้ง เพื่อรำลึกถึงตำรวจผู้จากไปขณะปฏิบัติหน้าที่ โดยเชิญภรรยา ลูกกำพร้า และครอบครัว มาพูดคุยให้กำลังใจ และมีโอกาสศึกษาดูการทำงานของตำรวจเอฟบีไอ พาลูกๆ มาดูที่ทำงานของพ่อที่เสียชีวิต พูดคุยให้กำลังใจ นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมให้เด็กๆ เพื่อให้เขาไม่เกิดความรู้สึกถูกทอดทิ้ง เมื่อคนในครอบครัวหายไป แต่พวกเขาก็ยังมีเอฟบีไอคอยห่วงใยและให้กำลังใจ จึงอยากให้กิจกรรมดีๆ ลักษณะนี้เกิดขึ้นในสังคมไทยบ้าง เพราะอย่างน้อยๆ ก็ทำให้ครอบครัวของตำรวจไทยที่จากไปขณะปฏิบัติหน้าที่มีกำลังใจและรู้สึกไม่ถูกทอดทิ้ง

นอกจากประสบการณ์ด้านการสร้างสัมพันธภาพกับสื่อมวลชนตามแบบฉบับของเอฟบีไอที่ คุณเมาส์เก็บความรู้ พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม เพื่อลุยงานรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นตำรวจหญิงคนแรกที่ได้รับโอกาสนี้ เธอยังเก็บสะสมความทรงจำในรูปแบบของที่ระลึกนับร้อยๆชิ้น ที่ได้จากการอบรมครั้งนี้ด้วย นั่นคือ อาร์ม (Patch) และเข็มตราสัญลักษณ์ (Pin) ซึ่งแลกเปลี่ยนความทรงจำกับตำรวจประเทศต่างๆ และมลรัฐต่างๆ และโดยเฉพาะอาร์มของเอฟบีไอ แต่น่าเสียดายที่เครื่องแบบตำรวจไทยไม่สามารถติดอาร์มชิ้นนั้นได้ จึงมีเพียงเข็มหมุดเล็กๆ ที่ติดอยู่ที่อกขวาของรองโฆษกสาวที่การันตีว่าผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมจากเอฟบีไอ รุ่น 233 พร้อมสร้างสัมพันธภาพกับสื่อมวลชนอย่างมืออาชีพแล้ว

ในด้านชีวิตครอบครัว  

         ปัจจุบันเธอมีครอบครัวที่แสนอบอุ่นกับ นาวาอากาศเอก(น.อ)ดนุภพ  รัตนพานิช  และลูกๆที่น่ารักอีก 3 คน   แม้หน้าที่การงานจะมาก แต่เธอก็สามารถจัดสรรเวลาให้กับครอบครัวได้อย่างลงตัว อย่างในวันไหนที่เธอไม่ติดภารกิจในช่วงเย็นเธอก็จะหาโอกาสไปรับลูกๆที่โรงเรียนด้วยตัวเองเสมอ  และกลับมาทำอาหารเย็นทานกันที่บ้าน พร้อมหน้ากัน โดยจะมีคุณสามีรับหน้าที่เป็นพ่อครัว คุณเม้าเธอบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ที่มีสามีที่ชอบทำอาหาร แถมอร่อยซะด้วยซิ (เธอหัวเราะ)  เธอและลูกก็จะเป็นแผนกชิม  ส่วนกิจกรรมกลางแจ้งสำหรับครอบครัว ก็จะมีการขี่จักยาน และขี่ม้า ซึ่งกำลังเป็นกีฬาที่ลูกๆ กำลังโปรดปรานในขณะนี้   เธอเล่าว่าเดิมเป็นความฝันของลูกๆที่อยากจะขี่ม้า เธอจึงให้ลูกๆไปลอง เธอเห็นว่านอกจากจะเป็นกีฬาอย่างหนึ่งที่เป็นการออกกำลังกายแล้ว ยังทำให้เด็กมีจิตใจอ่อนโยน รักสัตว์  อีกทั้งยังเป็นการฝึก วินัย และ สมาธิให้เด็กๆในอีกทางหนึ่งด้วย  จากการที่ต้องไปนั่งเฝ้าคุณลูกๆอยู่เสมอ จนในที่สุดคุณเม้าก็ตัดสินใจฝึกขี่ม้าไปพร้อมกับลูกๆด้วยเลย เพื่อจะได้เป็นกิจกรรมสำหรับครอบครับอีกอย่างหนึ่ง  จากนั้นการขี่ม้าจึงกลายเป็นกีฬาโปรดปรานของครอบครัวนี้ไปเลย

กิจกรรมช่วยเกษตรกร

            นอกจากงานตำรวจแล้วเธอยังมีส่วนร่วมกับสามีและเพื่อนสามี ในการจัดตั้งกลุ่ม ที่ชื่อว่า  The  Moon Seeker ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นเพื่อ ช่วยให้เกษตรกร สามารถนำผลผลิตมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้  โดยการผลักดันให้เกษตรกรปลูกผลิตพันธ์ เป็นแบบ ออร์แกนิค และยังช่วยหาช่องทางในการจัดจำหน่ายให้เกษตรกรอีกทางด้วย  และยังมีการส่งเสริมการอนุรักษ์พันธุ์ข้าวไทยหายาก พร้อมกันนั้นยังช่วยส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ ศิลปะพื้นบ้าน ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย และตอนนี้เธอกำลังวางแผนขยายธุรกิจเกี่ยวกับพันธุ์ข้าวไทยหายากซึ่งอีกไม่นานคงจะได้ทราบความคืบหน้า

เตือนผู้ปกครองระวังภัยจากสังคมออนไลน์

            แม้จะเป็นวันว่างเธอก็ยังอดห่วงเรื่องของประชาชนไม่ได้ เธอจึงฝากผ่านทาง D-day trendy ถึงเรื่องที่น่าเป็นห่วงในตอนนี้ถึงผู้ปกครองทุกๆท่านให้ช่วยดูแลเอาใจใส่ บุตรหลาน ในเรื่องของภัยจากสังคมออนไลน์  ที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญสำหรับเยาวชนในขณะนี้  เธอบอกกับเราว่าขณะนี้สถิติของคดีประเภทนี้เพิ่มขึ้นทุกวันและมีแนวโน้มที่จะเกิดเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จึงฝากผู้ปกครองอย่าได้ไว้วางใจให้ลูกหลานใช้สื่อออนไลน์ตามลำพัง ควรจะดูแลอย่างใกล้ชิด ผู้ปกครองต้องเอาใจใส่ในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

           เราถามเธอว่ารู้สึกเหนื่อยบ้างไหมกับภาระที่หนักอึ้งสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องเป็นทั้งคนของครอบครัวและคนของประชาชนในเวลาเดียวกัน เธอตอบด้วยรอยยิ้มว่าเธอมีความสุขกับหน้าที่การงาน และชีวิตครอบครัว เธอมีความภูมิใจในการเป็นข้าราชการตำรวจ  มีความมุ่งมั่นมีความภูมิใจที่ได้ทำงานเพื่อประชาชน  และพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการทำประโยชน์ให้ประเทศไทยให้หน้าอยู่ขึ้น  นี่คือความฝันของเธอ.........

และนี่คือ เรื่องราวบางส่วนของ พันตำรวจโทหญิง(พ.ต.ท.หญิง) ฉันฉาย  รัตนพานิช ผู้หญิงที่เป็นตัวแทนของความอ่อนหวานบนความแกร่งแห่ง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”

ALL Interview UPDATE