“ถ้าเราเลี่ยงเทคโนโลยีไม่ได้ เราก็ต้องใช้เป็นเครื่องมือสอนลูก” วิธีคิดของคุณแม่ยุค 2017

เมื่อคุณแม่ยุค 2017 ยุคที่โลกหมุนตามเทคโนโลยี มองว่าการเลี้ยงลูกให้เติบโตและเป็นคนดีของสังคมได้นั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเป็นหลักแต่ใช้ควบคู่ไปกับการให้เวลากับลูกอย่างไร แบบไหน ถึงจะเพียงพอ คุณแม่ที่จะให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ดีก็ต้องเป็นทั้ง Working Woman และ คุณแม่ ในเวลาเดียวกัน

วันนี้ D-Daytrendy จะพาไปรู้จักกับ Working Woman “คุณแม่นา ที่กลายมาเป็นคุณแม่มือใหม่ เรียกได้ว่าเรื่องงานก็ยังลุย เรื่องลูกก็ไม่เคยละเลย เหนื่อยแค่ไหน กลับบ้านมาเจอรอยยิ้มของเทวดาตัวน้อย “น้องคริสต์มาส” ความเหน็ดเหนื่อยก็หายไป

แนะนำตัวคุณแม่ / คุณลูก

คุณแม่นา ​- สุวรรณา ธนาวิวัชชัย เป็น PR Manager  บริษัท อินทิเกรเต็ด โปรโมชั่น เทคโนโลยี จำกัด เป็นบริษัทที่ ให้คำปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ กับ “น้องคริสมาส - ด.ช.ปวรรุจณ์ สุรนาทยุทธ์” หนุ่มน้อย 2 ขวบ 7 เดือน ส่วนคุณสามีทำงานด้านองค์การอาเซียน เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เรียกได้ว่าเป็นนักสิ่งแวดล้อมเต็มตัว  คือ "ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์” ผู้อำนวยการ ASEAN-WEN LEEO (สำนักงานประสานงานเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายสัตว์ป่าและพันธุ์พืชแห่งภูมิภาคอาเซียน)

คริสต์มาสเป็นเด็กร่าเริงแข็งแรง ที่สำคัญซนมาก ช่างพูด คุยเก่ง ด้วยเป็นวัยที่กำลังอย่ในช่วงของการเรียนรู้ ช่วงนี้เขาจะสนใจสิ่งมีชีวิตที่มีการเคลื่อนไหว ด้วยบริเวณบ้านเราจะเป็นพื้นที่สีเขียว เขาก็จะชอบออกไปดูไปเห็นต้นไม้  ดูนก  แล้วที่บ้านเลี้ยงสัตว์ด้วย มันก็เป็นข้อดี ที่ทำให้เขาสนใจกับนก สนใจสุนัข สนใจกับสิ่งที่ชีวิตเคลื่อนไหวเป็นพิเศษ

อยากให้พูดถึง บริหารจัดการเวลายังไง ที่จะมาดูแลน้องคริสต์มาส เพราะด้วยคุณนาเองก็เรียกได้ว่าเป็น Working Woman แบบเต็มตัว

ด้วยเราเป็นบริษัทที่จัดทำอีเว้นท์ เพราะฉะนั้นจะมีช่วงที่ค่อนข้างยุ่งมากๆอยู่บ้าง แต่พอทำงานเสร็จ เราก็จะรีบกลับบ้าน จริงๆ ตรงนี้ทำให้สังคมกับเพื่อนของเรามันหายๆไปบ้าง แต่มันเป็นช่วงเวลาที่เราคิดว่าเราต้องให้เวลากับลูก เพราะว่าเขามีเวลาเรียนรู้และอยู่กับเราช่วงนี้ได้ เป็นช่วงที่เราต้องให้ความสำคัญ กับเขาได้เต็มที่ พอกลับบ้านปุ๊บน้องก็จะอยู่กับเราตลอดจนถึงเวลานอนเลย จนเช้า ทำให้ช่วงแรกๆจะทำให้เขาเป็นเด็กนอนดึก เพราะรอเรากลับบ้าน ทำให้เราต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตรงนี้ จากที่เคยกลับดึกมากๆ เราก็พยายามรีบกลับให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับเขาให้ได้นานขึ้น และจะทำให้เขาเข้านอนได้เร็วขึ้นด้วย

จากเมื่อก่อนน้องคริสต์มาสจะนอนตอน 4-5 ทุ่ม ซึ่งสำหรับเด็กมันดึกมาก แล้วเราก็รู้สึกว่า เหมือนเขารอเรากลับมาบ้านนะ พอเรากลับมาก็มาเล่นกับเรา แต่เขาไม่ได้รอเราอย่างเดียว แต่มันมีสิ่งเร้าใจอย่างอื่น เช่น ทีวี หรือสิ่งอื่นๆรอบตัว อย่างเด็กบางคนเขาอาจจะนอนเร็วเพราะถูกฝึกด้วยสภาพแวดล้อมของครอบครัว แต่ครอบครัวของนาเป็นครอบครัวใหญ่ อยู่กับคุณแม่นา พี่ๆที่เป็นหลานของนา พี่เลี้ยง เขาก็จะตื่นเต้นกับสิ่งรอบข้างเหล่านี้ แล้วก็ไม่ยอมนอน ประจวบกับที่นากลับบ้านดีก พอกลับมาปุ๊บ ก็มานั่งเล่น นั่งคุยกับเขา เขาก็เลยนอนดึกไปด้วยเลย จนวันหนึ่งเรารู้สึกว่า มันไม่ได้แล้วนะ เราก็เลยพยายามปรับ โดยรีบทำงาน แล้วรีบกลับมาดูแลลูก เรียกได้ว่าเป็นการปรับตารางการทำงาน การใ้ช้ชีวิตเพื่อให้ได้ใช้เวลากับน้องคริสต์มาสได้แบบเต็มที่

สไตล์การเลี้ยงลูกของคุณนาเป็นแบบไหน

เราพยายามเลี้ยงแบบให้เขาเรียนรู้ทุกอย่างเอง เราไม่วางข้อจำกัดกับเขา เราให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเขาเอง ทีนี้ด้วยปัจจุบันมันมีสิ่งที่ให้เขาเรียนรู้เยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีที่เข้ามาแบบเยอะมาก เราก็เริ่มกังวลเพราะว่าเรากลัวว่าเขาจะติดเทคโนโลยีเหล่านี้มากไป เราก็เลยพยายามที่จะเอาของเล่นอย่างอื่นให้เขา ให้เขาได้ทำกิจกรรมที่ให้ห่างจากเทคโนโลยีบ้าง อย่างพวกเลโก้ ตัวต่อ หรือของเล่นอะไรก็ได้ที่ช่วยเสริมสร้างทักษะให้กับเขาได้ หรือไม่ก็ให้เขาทำกิจกรรมข้างนอก อย่างเล่นกีฬา เพื่อให้เขาได้เรียนรู้ว่า แต่ละอย่างเป็นอย่างไร และดูว่าเขาจะชอบไหม สนุกที่จะเรียนรู้เรื่องอะไร

ต้องบอกว่านาเป็นคุณแม่ที่พยายามลดการใช้โซเชียลของลูก เพราะว่า หนึ่งเขาอยู่กับครอบครัว ดังนั้นพอเขาตื่นขึ้นมาปุ๊บ สิ่งที่เขาเจอ คือ คุณแม่เปิดโทรทัศน์ดูตั้งแต่เช้า เขาจะอยู่กับครอบครัวที่ดูโทรทัศน์ทั้งวัน เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพอคุณแม่เรามาช่วยดูหลาน เขาก็เปิดทีวีทิ้งเอาไว้ เพราะเขาอยู่ที่บ้านตลอด ซึ่งลูกเราก็จะอยู่กับทีวี นาก็เลยพยายามให้พี่เลี้ยงเอาพวกของเล่นแยกห้องไว้ เพื่อที่จะได้ให้อยู่ห่างทีวีบ้างไม่อยู่ใกล้กันมากเกินไป แล้วอย่างพี่เลี้ยงเองก็มีโทรศัพท์ มีเกมส์ในโทรศัพท์ เขาอยู่กับสื่อ อยู่กับน้อง พี่ๆ หลานๆ ที่เขาเล่นเกมส์บนไอแพดกัน เขาก็จะอยู่กับเทคโนโลยีพวกนี้แทบจะทั้งวันเลย โดยที่เราควบคุมยากมาก มีไปปรึกษาเพื่อนๆ ก็บอกว่าเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วปัญหาเรื่องแท็บเล็ต มือถือ ไม่รุนแรงขนาดนี้ เขายังมีวิธีดึงความสนใจลูกออกจากสิ่งเร้าจากโทรศัพท์ จากเกม เยอะและง่ายกว่านี้ แต่ปัจจุบันยากมาก ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเรื่องที่ต้องระวัง เพราะโทรศัพท์เครื่องเดียวมันมีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว นาก็เลยจะเป็นคนที่ใช้สิ่งเหล่านี้น้อย มีใช้ถ่ายรูปถ่ายวิดีโอให้เขารู้จักการเล่น และเราเป็นคนเดียวที่พยายามลดให้มันน้อยที่สุดแล้ว

อย่างตอนนี้คริสต์มาสสามารถหยิบโทรศัพท์ของคุณแม่มาเปิด youtube เองได้แล้ว เข้าไปดูการ์ตูน การออกเสียง เขาสามารถหาเจอ โดยเขาใช้การจำ อย่างโทรศัพท์ของนาเขารู้ว่ามีวิดีโอที่เราถ่ายเขาไว้ เขาก็จะมาขอดู เด็กในยุคปัจจุบันเขาอยู่กับเทคโนโลยีและเรียนรู้กันเร็วมาก จริงๆมันก็เป็นสิ่งที่ดีในการสอนเพราะที่บ้านพยายามพูดว่า เราเลี่ยงเทคโนโลยีไม่ได้ เราก็ต้องใช้สอน แต่ถ้ามากไปเราก็คอนโทรลค่อนข้างยากเหมือนกัน กลัวว่าถ้าวันหนึ่งเขาอยากได้ไอแพดเหมือนพี่ๆ แล้วกรี๊ดขึ้นมา เราก็ยังคิดว่าจะรับมือตรงจุดนี้ยังไง เราก็เลยค่อยๆแก้ปัญหา คือ เวลาที่เขาอยู่กับเรา เขาจะไม่มีโอกาสได้หยิบโทรศัพท์มาเปิด youtube ไม่มีโอกาสเล่นเกมส์จากโทรศัพท์ของเราเลย

วางอนาคตของน้องไว้ยังไงบ้าง / อยากให้เขามาดูแลงานอีเว้นท์เหมือนคุณแม่ไหม

ปัจจุบัน ‘นา’ กับ ‘สามี’ คือ "ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์” หรือ “คุณมาร์ค” ร่วมกันวางเรื่องของการศึกษาไว้ให้เขา วางแค่แนวทางการศึกษา ในหลายทางเลือกที่ให้เราใช้สอนลูก ซึ่งเรามองว่ามันมีทางเลือกที่ไปทางแนววิชาการ กับแนวทางที่เรียนให้แบบเด็กรู้จักที่จะเรียนรู้ชีวิต อย่างนาคุยกับสามีกันว่า เราคงให้ลูกเรียนทางด้านวิชาการ แต่เราจะเสริมเรื่องของกิจกรรมและการเข้าสังคมให้กับเขา เพราะว่าส่วนหนึ่งเรายังคงเชื่อในเรื่องของความรู้ทางด้านวิชาการ แต่ก็ไม่อยากให้ภาวะทางด้านจิตใจหรืออารมณ์ของเขาน้อยลง เราก็คงเสริมในด้านนั้น ทีนี้ในเรื่องของการศึกษาเราถือว่าเราให้เท่าที่เขาควรจะได้และถ้าเขาอยากได้เพิ่ม นี่ก็คือสิ่งที่เราต้องซัพพอร์ตเขา แต่คงไม่ถึงขนาดที่จะวางว่าเขาจะต้องไปในแนวทางไหน เพราะเขาเพิ่ง 2 ขวบครึ่ง เราก็ยังไม่เห็นว่าเขาสนใจทางไหนเป็นพิเศษ ด้วยนิสัยส่วนตัวเขาเป็นเด็กที่ชอบเล่นกีฬา ชอบปีนป่าย คนก็บอกควรส่งเสริมในด้านกีฬา เราก็เลยบอกว่าเรามีหน้าที่แค่ส่งเสริมให้เขาไปในทางที่เขาจะชอบ

นิยามของการการเป็น แม่ที่ดีในมุมมองของเรา

คนที่เป็นแม่ แม้จะเหนื่อยจากการทำงาน มันเป็นการเหนื่อยในแง่ของหน้าที่ แต่พอเรากลับไปบ้านเราเห็นหน้าลูกก็ชื่นใจแล้ว เราจะรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่กลับบ้านแล้วเห็นเขายืนรอ แล้วเขาจะเต้นแบบดีใจ เข้ามากอดเรา มันหายเหนื่อยเลย มันอยากทำให้เรารีบกลับบ้านไปเจอเขา

จากการที่เราเคยเป็น “ลูก​“ และตอนนี้เปลี่ยนบทบาทมาเป็น “คุณแม่” มีความรู้สึกยังไงบ้าง

ต้องเรียกว่าเป็นภาระที่เราเต็มใจ บางทีหลายๆอย่าง มันเป็นเรื่องของภาระความรับผิดชอบ มันเป็นความเต็มใจที่เราได้ทำ อย่างเมื่อก่อนเคยมองไว้เหมือนกันว่า ยังไม่อยากมีลูก มีความกังวลเยอะแยะมากมาย แต่พอมี มันรู้สึกว่า ดีจัง มีเขาเข้ามาอยู่ในชีวิตเรา เขาเป็นส่วนดีๆในชีวิตที่เข้ามา เราอาจจะไม่ได้อินในความเป็นแม่ แต่พอเรามีโอกาสได้เป็น วันที่เรามีเขาเข้ามา เราพูดกับตัวเองเลยว่า "ราจะเลี้ยงเขาให้ดี เป็นความภูมิใจที่เราจะได้เห็นเขาเติบโตขึ้น เชื่อว่าคุณแม่ทุกคนอยากเห็นลูกโตมาเป็นคนดี ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกกันด้วยวิธีแบบไหน แต่จุดมุ่งหวังเดียวกันคือ จะปั้นลูกยังไงให้เป็นคนดี"

อยากฝากอะไรถึง น้องคริสต์มาส เมื่อวันหนึ่งในอนาคตเขาจะได้มีโอกาสมาอ่านบทสัมภาษณ์นี้

“รักแม่มากๆนะลูก” แม่อยู่กับหนูตลอด คอยเฝ้าดูทุกย่างก้าวของหนู นับตั้งแต่วันที่หนูยังเดินเตาะแตะไม่มั่นคง แม่คอยประคับประคองและจูงมือหนูไม่ห่าง  และแม้ในวันข้างหน้า ก้าวย่างของหนูจะแข็งแรง และไม่ต้องการการประคับประคองอีกต่อไป แต่แม่ก็จะไม่ห่างไปไหน จะคอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ คอยเป็นกำลังใจ คอยสนับสนุนให้หนูก้าวเดินได้อย่างสง่างาม และหากวันไหนที่หนูล้ม ก็จะยังมีแม่คอยอยู่ข้างๆ เหมือนเดิม

และนี่คือ “คุณแม่นา ​- สุวรรณา ธนาวิวัชชัย” ผู้หญิงที่ใส่ใจในการบริหารเวลาสำหรับงานและเวลาสำหรับลูกได้ลงตัว

ALL Interview UPDATE